Biography ชีวิตจริง
Biography ชีวิตจริง หนังที่สร้างมาจากเรื่องราวของบุคคลจริง รวมทั้งจุดที่บทภาพยนตร์ปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงให้ไม่เหมือนกับเหตุจริงฮอลลีวูดมีช่องทางในการหาไอเดียมาสร้างหนังได้มากมาย ทั้งยังจากเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อสร้างหนังโดยเฉพาะ ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขมาจากนิยายขายดิบขายดีบ้าง เอาทีวีซีรีส์ได้รับความนิยมๆมาดัดแปลงเป็นหนังบ้าง แต่หนทางหนึ่งที่นิยมกัน มากมายและส่วนใหญ่ชอบบรรลุเป้าหมาย Biography ชีวิตจริง ก็คือการสร้างหนังจากเหตุการณ์จริง หรือนำอัตชีวประวัติบุคคลจริงมาสร้าง
เลือกจากบุคคลที่โด่งดัง บรรลุเป้าหมายเป็นที่รู้จัก หรือได้เคยสร้างความกล้าหาญที่น่าตื่นตะลึงงันไว้ แม้กระนั้นภาพยนตร์คือธุรกิจที่มีการลงทุนสูง ถ้าจะเล่าแบบตามจริงเป๊ะก็ไม่น่าจะบันเทิงใจเสียรู้เดียว นักเขียนบทก็จำต้องใช้กลเม็ดเด็ดพราย ปรับนิดเสริมหน่อยเพื่อความเพลิดเพลิน ของภาพยนตร์รวมทั้งนำมาซึ่งการทำให้หนังได้เงิน สตูดิโอได้กำไร ในเนื้อหานี้พวกเราจับหนังดัง 9 เรื่อง ที่สร้างจากบุคคลจริง ที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งเผยให้รู้ดีว่า ผู้ผลิตได้เปลี่ยนแปลงตัดหรือเพิ่มส่วนใด ไปจากเรื่องราวจริง
1.A Beautiful Mind (2001) : เพศชายหลายมิติ
หนังเล่นบทนำโดย รัสเซล วัวรว์ หนังบรรลุผลสำเร็จทางด้านรายได้รวมทั้งด้านรางวัล คว้าไปถึง 4 ออสการ์ จากการเข้าชิง 8 รางวัล เป็นหนังที่ส่งให้รัสเซล โครว์ ได้เข้าชิงออสการ์สาขาผู้แสดงนำฝ่ายชายเป็นครั้งที่ 3 ภายหลังปีก่อนหน้าเขาพึ่งคว้าออสการ์สาขานำชายมาจาก Gladiator (2000) ในประเด็นนี้รัสเซล สวมบทบาทเป็น จอห์น ฟอร์บส์ แนช อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์
เจ้าของรางวัลโนเบล บทหนังปรับปรุงแก้ไข ดัดแปลงตัวตน ของจอห์น ฟอร์บส์ แนช ได้บิดเบือนจากตัวตนจริงของเขาไปมาก เพื่ออรรถรสของภาพยนตร์ แต่กระนั้นบทภาพยนตร์ความสามารถของ อกิวา โกลด์แมน ก็ยังสามารถเอารางวัลออสการ์ไปได้สำเร็จในจุดสำคัญๆก็อย่างเช่น จอห์น ไม่เคยขึ้นกล่าวปราศรัยในวันที่เขารับรางวัลโนเบล แต่ว่าในหนังกลับมีฉากที่เขาขึ้นพูด, จอห์น ไม่เคยดำเนินงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม ในหนังได้สร้างภาพให้จอห์นบิดาที่ดีงามน่ายึดเป็นแบบอย่าง จุดนี้ล่ะ ที่ห่างไกลจากตัวตนจริงของจอห์น ฟอร์บส์ แนช เนื่องจากเขาเป็นพ่อ ที่ไม่เอาไหนอย่างมาก จอห์นมีลูกกับภรรยานอกสมรส และก็เขาไม่เคยรับผิดชอบลูกชายคนนี้เลย
2. The Pianist (2002) : สงคราม ความมุ่งหวัง บัลลังก์ เกียรติศักดิ์
หนังเล่าเรื่องราวของ วลาดิสลอว์ สปิลมันน์ นักเปียโนมืออาชีพผู้มีฝีมือสาหัส หนังเล่าราวจากความทรงจำของ วลาดิสลอว์ ซึ่งเรื่องจริงแล้วเขาเกิดในกรุงวอร์ซอ ประเทศโและประเทศโปแลนด์ อยู่ตรงนั้นตลอดทั้งชีวิต แต่ว่าในหนังที่เรามองเห็นนั้นกลับถ่ายทำที่ ครั้งเคา ประเทศโปแลนด์เหมือนกัน เหตุที่จะต้องมาถ่ายทำที่คราวเคาก็เพราะ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ฮิตเลอร์ได้ทำลายสลัมในวอร์ซอ รวมทั้งตึกรามบ้านช่องโดยมากไปหมดแล้ว ผู้กำกับโรมันจึงเลือกใช้บริเวณเมืองเก่าในคราวเคาให้ดูเหมือนกรุงวอร์ซอให้ได้มากที่สุด โดยยึดต้นแบบจากภาพลายเส้นของ คานาเล็ตโต นักแสดงชาวอิตาเลียน ที่เขาเขียนภาพวิวบรรยากาศในกรุงวอร์ซอไว้จำนวนไม่ใช่น้อย
3. The Untouchables (2011) : ด้วยความจริงใจแห่งมิตร
พิชิตทุกสิ่งภาพยนตร์ฝรั่งเศส ที่ประสบผลสำเร็จมากสุด ในประวัติศาสตร์ ส่งให้ชื่อของโอมาร์ ซี กลายเป็นศิลปินแถวหน้า ของประเทศฝรั่งเศส หนังยังถูกฮอลลีวูดนำมารีเมกในชื่อ The Upside เมื่อปี 2017 เรื่องราวดราม่าสุด ปลื้มปิติกับมิตรภาพของชาย 2 คนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หนึ่งคนคือสมัยก่อนผู้ต้องขัง อีกคนคือมหาเศรษฐีเอาแต่ใจ ที่ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ
ทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาตั้งนั่งรถเข็นไฮเทคตลอดเวลาหนังมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวผู้แสดงนำในเรื่องไปจากตัวตนจริงอย่างยิ่ง ในหนังนั้น ฟิลิปเป เพียงพอซโซ ดิ บอร์โก มหาเศรษฐีที่จะต้องนั่งรถเข็นนั้นเป็นพ่อม่ายเสียเมียไปในอุบัติเหตุ แม้กระนั้นเรื่องราวจริงนั้นภรรยาเขาบาดเจ็บหนักจากอุบัติเหตุนั้น และทนทุกข์กับการบาดเจ็บอยู่ถึง 3 ปีจึงลาโลกไป ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ทั้งคู่ได้รับเด็ก 2 คนมาเป็นลูกบุญธรรม แต่ในหนังไม่เอ่ยถึงลูกบุญธรรมอีกทั้ง 2 คนนี้เลย
ตอนสุดท้ายของหนังก็แตกต่างจากความเป็นจริงเช่นเดียวกัน ฟิลิปเปย้ายไปอยู่ในโมร็อกวัว ตรงนี้เขาเจอกับแม่เลี้ยงผู้เดียวที่มีลูกสาว 2 คน ทั้งสองตกหลุมรักรวมทั้งแต่งงานกัน ส่วนแอบเดล ยาสมิน เซลลู ผู้ดูแลที่เป็นอีกผู้แสดงหลักของหัวข้อนั้น ในหนังบอกว่พื้นเพของเขามาจากเซเนกัล แม้กระนั้นตัวจริงของเขานั้นมาจาก แอลจีเรีย
4. Escape from Alcatraz (1979) : ฉีกตารางอัลติด
อยู่ทราซเรื่องราวของ แฟรงค์ มอร์ริส, แคลเรนซ์ และจอห์น แอละโมบลิน 3 ผู้ต้องขังตัวจริงที่สามารถหนีออกจากคุกอัลค้างทราซ ที่ขึ้นชื่อว่าคุ้มกันหนักแน่นที่สุดของโลกได้สำเร็จ หลังหนีออกไปแล้วไม่มีใครรู้ว่าทั้งยัง 3 ยังรอดชีวิตหรือเปล่า จวบจนกระทั่ง 1 ปีผ่านไป มีผู้ได้รับจดหมายจาก จอห์น แอขี้เหนียวลิน ที่ไม่เจาะจงที่มา การันตีว่าทั้งยัง 3 คน ยังมีชีวิตอยู่รอดไม่มีอันตรายดี
ตามที่ว่าเรื่องราวจริงนั้นตื่นเต้นสุดระทึกอยู่แล้ว พอเพียงมาแปลงเป็นบทภาพยนตร์คนเขียนบทจึงไม่ต้องเพิ่มต่อเติม หรือบิดเบือนอะไรเยอะแยะหนังยกกองถ่ายไปถ่ายทำกันที่คุกอัลคาทราซจริงๆแม้กระนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแค่นั้น ด้วยเหตุว่าผู้ต้องขังตัวจริงนั้นถูกขังอยู่ใน ส่วน B แต่หนังไปถ่ายทำกันส่วน C ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมเรือนจำอัลค้างทราซก็ยังสามารถมองเห็นหลุมที่ทั้งยัง 3 ขุดเพื่อหลบหนีได้อยู่ พร้อมด้วยกระดาษที่ปิดหลุม รวมทั้งหัวปลอมที่หล่อจากปูนปลาสเตอร์ ก็ยังเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวดู
5. Hachi: A Dog’s Tale (2009) : ฮาชิ หัวใจบอกได้ที่จริง
เวอร์ชันฮอลลีวูดนี้ รีเมกมาจากหนัง Hachi-ko เวอร์ชันญี่ปุ่นที่สร้างในปี 1987 อีกครั้ง ซึ่งเวอร์ชันนั้นคงจะใกล้เคียงกับเรื่องราวจริงมากยิ่งกว่า พอเพียงมาเป็นเวอร์ชันฮอลลีวูดให้ริชาร์ด เกียร์ รับบทนำ หนังก็เลยจำต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่หลักจากเมืองโตเกียว มาเป็นสหรัฐอเมริกา อีกจุดหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือ ปัจจัยการเสียชีวิตของตัวละครหลัก ในข้อเท็จจริงนั้น ศ.จ.ฮิเดะซาบูโระ อุเอโนะ นั้นตายด้วยต้นเหตุเลือดไหลในสมอง แต่ในหนังนั้นตายด้วยภาวการณ์หัวใจวาย ในส่วนฮาชิ หมาตัวหลักของหัวข้อนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่มา ฮาชิตัวจริงนั้น ศาสตราจารย์ไปซื้อมาจากร้านค้าขายสุนัข แม้กระนั้นในหนังก็ถูกปรับแปลงให้มองน่าเวทนามากขึ้น ด้วยการเขียนให้ศ.จ.เจอฮาชิเป็นสุนัขหลงอยู่ที่สถานีรถไฟ
6. 127 Hours (2010) : 127 ชั่วโมงหนังเอาชีวิตรอด
ที่ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขมาจากหนังสือที่อารอน ราลสตัน เขียนบันทึกขณะแห่งความเป็นความตายในระยะเวลา 127 ชั่่วโมง ที่เขาจำต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจำเป็นต้องเลือกที่จะจำต้องสละแขนด้านขวาเพื่อเอาชีวิตรอด หัวข้อนี้เจ้าตัว อารอน ราลสตัน ตัวเอกของเรื่องสุดสะพรึงนี้ มายืนยันเองเลยว่า เรื่องราวในหนังถ่ายทอดเรื่องออกมาได้ใกล้เคียงสถานะการณ์จริงที่เขาเผชิญมาอย่างมาก มีบางจุดนิดๆหน่อยๆที่ไม่ใช่จุดหลักเพียงแค่นั้น ที่จะต่างออกไปจากเรื่องจริง ตัวอย่างเช่นฉากแรกเวลาที่อารอนได้พบกับ 2 นักกีฬาปีนเขา อารอนได้สอนเทคนิคการปีนเขาให้กับ 2 คนนั้น แต่ว่าในหนังนั้นอารอนพาพวกเขาไปดูทะเลสาบที่ซ่อนอยู่ในซอกเขา
7. The Pursuit of Happyness (2006) : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้
หนังดราม่าน้อยเรื่องที่ วิล สมิธ รับแสดง และเป็นหนังที่หลายๆคนหลงเสน่ห์แล้วก็อยู่ในหลายชื่อหนังโปรด ที่นอกเหนือจากการที่จะฉากเรียกน้ำตาเยอะมากแล้วยังเป็นหนังที่ให้กำลังใจผู้ชมได้อย่างดีอีกด้วย วิล สมิธ ฝากบทบาทการแสดงที่คงจะพูดได้ว่าดีเยี่ยมที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขาดารานำชายเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ต่อจาก Ali (2001)
แล้วภายหลังจากประเด็นนี้เขาก็ยังไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกเลย วิล สมิธ สวมบทเป็น คริส การ์ดเนอร์ นักธุรกิจค้าหุ้นที่ประสบผลสำเร็จ ผู้ก้าวมาจากจุดที่ติดลบ เขาจำต้องเร่รอนแบบไม่มีที่ซุกหัวนอนกับลูกชายวัย 5 ขวบ ของเขา ที่ได้เจเด็น สมิธ มาร่วมแสดงกับบิดาได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากของ เอ็งเบรียล มุคซิโน ที่เอาพ่อลูกจริงๆมาแสดงร่วมกัน
ทำให้เข้าขากันดีเยี่ยม และสื่ออารมณ์ถึงผู้ชมได้อย่างชะงัดนัก และก็เป็นการตกลงใจที่ถูกอีกเช่นกัน ที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในจุดนี้ให้ต่างจากความเป็นจริง เพราะว่าในเรื่องจริงนั้น เวลาที่คริส การ์ดเนอร์ จะต้องเผชิญจุดเสื่อมถอยสุดในชีวิตนั้น ลูกเขายังเป็นทารกอยู่เลย ซึ่งถ้ายึดตามจริงการสื่ออารมณ์หนังจะลดน้อยถอยลงไปๆมาๆก เพราะว่าเด็กแรกเกิดแสดงและเชื่อมอารมณ์กับพ่อมิได้
แต่พอปรับเรื่องให้เป็นเด็ก 5 ขวบ จะสามารถรับส่งอารมณ์กันได้ดีมากกว่า อีกจุดเล็กๆที่มีการปรับเปลี่ยนเป็น ในระหว่างที่คริส ไปขอฝึกฝนการทำงานในบริษัทโบรคเกอร์นั้น เขายินดีรับข้อเสนอที่ได้ฝึกงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่เรื่องจริงนั้นบริษัทจ่ายค่าจ้างให้คริส แต่ว่าเปลี่ยนแปลงที่ตรงนี้ก็เพื่อให้เรื่องราวของคริสในหนังนั้น ดูน่าสงสารเยอะขึ้น
8. Catch Me If You Can (2002) : จับให้ได้หากนายแน่จริง
อีกหนึ่งผลงานจดจำของสตีเวน สปิลเบิร์ก ที่จับเอา ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ แล้วก็ ทอม แฮงก์ส 2 ซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของฮอลลีวูดมาประชันกัน ในหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ว่าคนร้ายรายนี้คือผู้กระทำผิดกฎหมายจอมต้มตุ๋นระดับตำนาน ที่เมื่อพ้นโทษแล้วเขาสามารถเอาวิชาชีพด้านมืดนี่ล่ะ มาสอนบรรดาตำรวจได้ แล้วยังเขียนเรื่องตนเองออกมาเป็นนิยายขายดีอีกด้วย หนังก็ดัดแปลงมาจากนิยายของ แฟรงค์ อบาเนล เองนี่แหละ และก็ได้ ลีโอที่นาร์โด ดิคาปริโอ มาแสดงบทบาทอาชญากรจอมเจ้าเล่ห์ ผู้มากเสน่ห์ได้อย่างเหมาะ ควรมากแน่ๆ
ว่าเพื่อเพิ่มรสชาติความดราม่าให้กับหนัง สตีเวน สปิลเบิร์ก ก็เลยจะต้องขอปรับเรื่องราวจากความเป็นจริงและจากหนังสือต้นฉบับเสียหน่อย ในฉากที่แฟรงค์ อบาเนล ได้กลับไปพบบิดาของเขาอีกครั้งในชุดกัปตันสายการบิน เพื่อให้บิดารู้สึกพึงใจในตัวเขา ที่ไปถึงเป้าหมายในชีวิตได้เป็นถึงนักบิน แต่ตามความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่แฟรงค์ออกมาจากบ้านเขา ก็มิได้พบพ่ออีกเลย อีกฉากก็คือในฉากแมวจับหนู แฟรงค์โดนตำรวจจับตัวได้ในประเทศฝรั่งเศส เขาถูกคุมตัวขึ้น โบอิ้ง 737 มายังอเมริกา ในหนังนั้นแฟรงค์หลอกล่อตำรวจ แล้วแอบหนีไปได้จากส้วม แม้กระนั้นในความเป็นจริงนั้น แฟรงค์หายตัวไปจากท้ายเรือบินโบอิ้ง
9. I, Tonya (2017) : ทอนย่า
บ้าให้โลกคลั่งหนังสายรางวัล ที่มาร์ก็อต ร็อบบี้ ขอแสดงฝีมือให้ดูว่าเธอไม่ได้มีดีแค่รูปพรรณสัณฐาน แต่ว่าคุณก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือด้วย แล้วงานแสดงของคุณใน I,Tonya ก็เป็นหนป่ระจักษ์ ผลงานการแสดงของเธอเรียกเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ได้เป็นอย่างดี แล้วเธอก็มาได้ถึงจุดแทบสูงสุดของอาชีพการแสดง แม้จะเข้าวงการมาไม่นาน บท ทอนย่า ฮาร์ดิง ส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาดารานำหญิงดีที่สุดเป็นครั้งแรก แม้กระนั้นก็พลาดไป เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกครั้งเมื่อต้นปีก่อนหน้านี้นี้เอง
จาก Bombshell ใน I, Tonya สวมบทบาทเป็นตัวเอกของเรื่อง ทอนคุณย่า ฮาร์ดิง นักสเก็ตท่าทางหญิงขี้โมโห ในหนังนั้นคุณมีคู่ปรปักษ์ในวงการเป็น แนนซี เคอร์ริแกน ที่ชิงดีชิงเด่นกันอยู่เป็นประจำ เพื่อเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม ในชีวิตจริงนั้น เมื่อมกราคม 1994 สามีเก่าของทอนย่า ได้ปองร้ายแนนซี เคอร์ริแกน แม้กระนั้นทอนย่ากลับออกตัวว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับคดีทำร้ายร่างกายระหว่างสามีคุณกับแนนซีแต่อย่างใด แต่คุณก็โดนข้อกล่าวหารวมหัวและก็ให้การปกปิดการกระทำผิดของสามีอยู่ดี ข้อผิดพลาดครั้งนี้ทำให้เธอถูกแบนจากวงการสเก็ตน้ำแข็ง ทำให้อาชีพที่คุณรักเป็นอันจะต้องจบ
แต่ว่าในหนังนั้น หนังค่อนลงลึกเรื่องราวตรงนี้ แล้วขยายความมากยิ่งขึ้นให้คนดูได้รับฟังเหตุผลจากทางฝั่งของทอนคุณย่า แถมให้ตัวละครรอบตัวได้ให้ความเห็นต่อเหตุนี้ การที่เพิ่มรายละเอียดพวกนี้ลงไป ทำให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมไปกับเนื้อหาของหนัง ได้ดูแล้ววิเคราะห์ตามว่าการทำของทอนย่านั้นถูกต้อง ควรแล้วหรือไม่จาก 9 เรื่องที่ชูมาล้วนเป็นตัวอย่างที่ดีว่า
เป็นมายาของฮอลลีวูด Biography ชีวิตจริง นี่เป็นสินค้าจากสตูดิโอผู้สร้างหนัง ที่สร้างมาเพื่อหวังผลผลกำไรจากค่าตั๋วเป็นหลัก ฉะนั้นควรรำลึกไว้เสมอว่าถึงแม้ว่าจะพวกเรามองเห็นคำนำหนังว่า Based on True Story ก็อย่าปักใจเชื่อนักว่าเรื่องราวที่ปรากฏบนจอนั้น จะเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ การที่เราได้รับทราบชีวิตความเป็นไปของผู้แสดงจากบุคคลจริงพวกนั้น เรื่องจริงแล้วเขาอาจจะดียิ่งกว่าหรือเลวร้ายกว่าภาพที่ถูกพรีเซนเทชั่นออกมาในหนังก็เป็นไปได้